- ทำกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ เป็นต้น ให้เบาบางลง
- ทำให้เป็นคนมีใจสุขุมเยือกเย็น
- ทำให้เป็นคนมีสติรอบคอบ ดุจรถที่มีเครื่องห้ามล้อดีฉะนั้น
- ทำให้สมาธิดี ทำให้ความจำดีขึ้น ทำให้เรียนหนังสือเก่ง เป็นประโยชน์แก่รักเรียน นักศึกษามาก
- ทำให้โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ หายไป เช่น โรคประสาท โรคอัมพาต โรคกระเพาะ โรคปวดศรีษะ เป็นต้น
- สามารถเป็นปัจจัยนำไปเกิดในสวรรค์ได้ เช่น พระภิกษุรูปหนึ่งท่านเจริญวิปัสสนากรรมฐานถึงญาณที่ 4 แล้วมรณภาพลงด้วยโรคลม ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ลงมากราบพระพุทธเจ้าขอฟังธรรม ปฏิบัติธรรมต่อในที่สุดก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน กลับไปเสวยรมย์ชมสมบัติอยู่ในเทวโลกสืบต่อไป
- ทำให้มีความเชื่อความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยหนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้นไปเป็นร้อยเท่าพันทวี
- สะดวกแก่การปกครอง คือ ทำให้ผู้ที่ได้รับการอบรมไปแล้วนั้นเป็นผู้ปกครองง่าย ไม่ก่อความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นแก่หมู่ แก่คณะ แก่สังคมทั่วๆ ไป
- กันโง่ เพราะมีสติ สติเป็นคู่ปรับกับโมหะ คือ ความโง่ เพราะโมหะนี้แหละเป็นตัวโง่ อย่างสำคัญที่สุดของแต่ละบุคคล
- มีสติตั้งมั่นดีทั้งในยามปกติและในยามใกล้จะตาย
- ทำให้คนมีศีลธรรม วัฒนธรรม อารยธรรม จริยธรรมอันดีงามโดยมากจะมีศีล 5 มั่นเป็นนิจ
- เด็กนักเรียนที่มีความจำได้ไม่ดี เรียนหนังสือไม่เก่ง ก็จะมีความจำดีขึ้น เรียนหนังสือเก่งขึ้น อีกหลายเท่าทีเดียว เพราะมีตัวอย่างมามากต่อมากแล้ว
- แก้นิสัยคนไม่ดีมาก คือ คนที่เป็นพาลเกเร เช่น อันธพาลนักโทษ ถ้าได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานแล้วจะกลับตัวเป็นคนละคน ถ้านักโทษแต่ละคนได้เข้าปฏิบัติแล้วเวลาปล่อยออกไปจะไม่กลับมาสู่คุกสู่ตะรางอีกเลย
- ถ้าฝึกสมาธิได้ดีแล้ว จะมีสุขภาพทางจิตดีเพราะได้พัฒนาจิตมาดี เข้าในหลักที่ว่า กิเลสเป็นพิษทำให้จิตแปรปรวน สมาธิเท่านั้นทั้งกันทั้งแก้ และสามารถจะนั่งได้เป็นเวลานานๆ หลายชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ 5 นาทีไป จนกระทั่งถึง 24 ชั่วโมง 30 40 72 ชั่วโมงก็ได้ เพราะเคยมีมาแล้ว
- ชื่อว่าได้บูชาพระพุทธเจ้าด้ายการบูชาอย่างสูงที่สุด ดังพระบาลีที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ ปรากฎอยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่่ 10 หน้าที่ 160-161 ว่า
ดูกรอานนท์ ผู้ใดเป็นภิกษุก็ตาม เป็นภิกษุณีก็ตาม เป็นอุบาสกก็ตาม เป็นอุบาสิกาก็ตาม ถ้าได้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติตามธรรมอยู่ ผู้นั้น ชื่อว่าได้สักการะ ได้เคารพ ได้นับถือ ได้บูชาตถาคตด้วยการบูชาอย่างสูง ดังนี้
ดูกรอาวุโส พระสัทธรรมจะไม่เสื่อม ก็เพราะพุทธบริษัทพากันปฏิบัติตามสติปัฏฐาน 4 ดังนี้
จริงอยู่ ถ้าบริษัททั้ง 4 นี้ จักบูชาเราด้วยการปฏิบัตินี้อยู่ตราบใด ศาสนาของเราจักเจริญรุ่งเรืองปานดังพระจันทร์เพ็ญลอยเด่นจ้าอยู่ท่ามกลางนภาตราบนั้น ดังนี้
ดูกรวักกลิ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่มีความจงรักภักดีในเรา จงเป็นเช่นกับพระติสสะเถระเถิด (พระติสสะเถระ ท่านเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก็จงพากันเจริญวิปัสสนากรรมฐานเหมือนท่านเถิด) ถึงแม้ว่าบริษัททั้ง 4 พากันทำการบูชาเราด้วยของหอมและดอกไม้นานับประการ ก็ยังไม่ชื่อว่าได้บูชาเราอย่างแท้จริง ส่วนพุทธบริษัททั้งหลายที่ได้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมเท่านั้น จึงจะชื่อว่าได้บูชาเราด้วยการบูชาอย่างแท้จริง ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อจะกล่าวว่ากองแห่งกุศล จะต้องกล่าวถึงสติปัฏฐานทั้ง 4 ดังนี้
- ชื่่อว่าได้ช่วยกันรักษาพระสัทธรรมไว้ไม่ให้เสื่อมสมดังพระบาลีว่า
ดูกรอาวุโส พระสัทธรรมจะไม่เสื่อม ก็เพราะพุทธบริษัทพากันปฏิบัติตามสติปัฏฐาน 4 ดังนี้
- ชื่อว่าได้ช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองดำรงเสถียรภาพอยู่ตลอดกาลนาน สมดังหลักฐานรับรองไว้ว่า
จริงอยู่ ถ้าบริษัททั้ง 4 นี้ จักบูชาเราด้วยการปฏิบัตินี้อยู่ตราบใด ศาสนาของเราจักเจริญรุ่งเรืองปานดังพระจันทร์เพ็ญลอยเด่นจ้าอยู่ท่ามกลางนภาตราบนั้น ดังนี้
- ชื่่อว่าได้เห็นพระพุทธองค์ เพราะได้เห็นพระธรรม สมดังที่ตรัสกับพระวักกลิว่า
ดูกรวักกลิ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม ดังนี้
- ชื่อว่าได้มีความจงรักภักดี มีความเคารพรักใคร่ในพระพุทธองค์เป็นพิเศษ สมดังพระบาลี ซึ่งปรากฎอยู่ในธัมมปทัฏฐกถา ภาค 6 ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่มีความจงรักภักดีในเรา จงเป็นเช่นกับพระติสสะเถระเถิด (พระติสสะเถระ ท่านเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก็จงพากันเจริญวิปัสสนากรรมฐานเหมือนท่านเถิด) ถึงแม้ว่าบริษัททั้ง 4 พากันทำการบูชาเราด้วยของหอมและดอกไม้นานับประการ ก็ยังไม่ชื่อว่าได้บูชาเราอย่างแท้จริง ส่วนพุทธบริษัททั้งหลายที่ได้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมเท่านั้น จึงจะชื่อว่าได้บูชาเราด้วยการบูชาอย่างแท้จริง ดังนี้
- ชื่อว่าได้บำเพ็ญกองกุศลอันยิ่งใหญ่ไพศาลทีเดียว ข้อนี้มีพระบาลีซึ่งปรากฎอยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 9 หน้าที่ 126 รับรองไว้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อจะกล่าวว่ากองแห่งกุศล จะต้องกล่าวถึงสติปัฏฐานทั้ง 4 ดังนี้
- ชื่อว่าได้ตัดเวมติกังขา คือ ข้อข้องใจสงสัยของตัวเอง ซึ่งได้เคยสงสัยว่า สมัยนี้มรรคผลนิพพานจะมีอยู่หรือไม่หนอ ซึ่งสอดคล้องต้องตามพระบาลีที่ปรากฎอยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่ 10 หน้าที่ 175-176 ว่า
ดูกรสุภัททะ ในะพระธรรมวินัยนี้ ถ้ายังมีอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐอยู่ตราบใด แม้พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ก็ยังมีอยู่ตราบนั้น ฯลฯ ดูกรสุภัททะ ถ้าภิกษุทั้งหลาย พึงพากันประพฤติปฏิบัติอยู่โดยชอบ โลกก็ไม่พึงว่างเปล่าจากพระอรหันต์ ดังนี้
พระอรรถกถาจารย์ยังได้กลาวรับรองความข้อนี้ไว้อีก ซึ่งปรากฎอยู่ในสุมังคลวิลาสินีอัฏฐกถาทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ภาค 3 หน้าที่ 111-112 บรรทัดที่ 1 และบรรทัดที่ 1-2 ว่า
ปฏิสมฺภิทปฺปตฺเตหิ วสฺสสหสฺสํ อฏฺฐาสิ พันปีที่ 1 เป็นยุคของพระอรหันต์ผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา
ฉฬภิญเญหิ วสฺสสหสฺสํ พันปีที่ 2 เป็นยุคของพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา 6
เตวิชเชหิ วสฺสสหสฺสํ พันปีที่ 3 เป็นยุคของพระอรหันต์ผู้ได้วิชา 3
สุกฺขวิปสฺสเกหิ วสฺสสหสฺสํ พันปีที่ 4 เป็นยุคของพระอรหันต์ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน
ปาฏิโมกฺเขหิ วสฺสสหสฺสํ อฏฺฐาสิ พันปีที่ 5 เป็นยุคของพระอนาคามี พระสกทาคามี และพระโสดาบัน ดังนี้
- ชื่อว่าเราได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ทั้ง 3 ปิฎก คือ พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม สมดังหลักฐานที่่มีปรากฎอยู่ในธรรมบทภาค 2 หน้าที่ 60 บรรทัดที่ 1 รับรองไว้ว่า (ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)
จริงอยู่พระพุทธพจน์ คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจบทั้ง 3 ปิฎก แม้ทั้งสิ้นคือไม่เหลือเลยสักตัวเดียวที่พระนักเทศน์ พระธรรมกถึก นำมาแสดงให้พุทธบริษัทฟังอยู่นั่น ย่อมรวมลงสู่จุดเดียวเท่านั้น คือ ความไม่ประมาท
โส ปเนส อตฺถโต สติยา อวิปฺปวาโส นาม
โส ปเนส อตฺถโต สติยา อวิปฺปวาโส นาม
ก็อันความไม่ประมาทนี้นั้น โดยใจความก็ได้แก่การไม่อยู่ปราศจากสติฯ คนมีสติก็คือคนเจริญสติปัฏฐาน 4 คนเจริญสติปัฏฐาน 4 ก็คือคนเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง
ได้บรรยายเรื่องทาง 7 สาย พร้อมทั้งอานิสงส์แห่งการเจริญวิปัสสนากรรมฐานมาก็นับว่าสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ขอยุติลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้
อิทํ เม ปุญญํ นิพฺพานสฺส ปจฺจโย โหตุ
อิทํ เม ปุญฺญภาคํ สพฺพสตฺตานํ เทมิ
อิทํ เม ปุญญํ นิพฺพานสฺส ปจฺจโย โหตุ
อิทํ เม ปุญฺญภาคํ สพฺพสตฺตานํ เทมิ
พระเทพสิทธิมุนี 22 .01.2524
------------------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น