ทางไปพรหมโลก ได้แก่สมถกรรมฐาน มีอารมณ์ 40 แบ่งออกเป็น 7 หมวด คือ กสิณ 10 อนุสสติ 10 พรหมวิหาร 4 อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 จตุธาตุววัตถาน 1 ซึ่งมีความพิศดารได้เขียนไว้อีกเล่มหนึ่งต่างหาก โดยใช้ชื่อว่า "จิตตภาวนา" หรือ "ธรรมปฏิบัติ" และอีกเล่มหนึ่งได้เขียนเป็นทำนองปุจฉาวิสัชนา ให้ชื่อว่า "คำถาม-คำตอบ เรื่องวิปัสสนากรรมฐาน" ดังนั้น ในเล่มนี้จะขอยกไว้ไม่นำมาแสดงไว้ในที่นี้อีก ท่านผู้ประสงค์จะทราบก็โปรดติดตามหาดูได้ในหนังสือดังที่กล่าวมาแล้วนั้น
ทางสายที่ 1 ถึงสายที่ 6 นี้ มีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกแล้ว ในพุทธศาสนาก็มี นอกพุทธศาสนาก็มี เช่น อาฬารดาบส อุทกดาบส ผู้เป็นอาจารย์ของพระพุทธเจ้า เป็นต้น ได้เคยเดินทางสายนี้มาแล้ว ผู้ที่เดินทางสายนี้ถึงแม้ว่าจะปฏิบัติได้ดีจนได้บรรลุฌาน ได้บรรลุอภิญญาแล้วก็เสื่อมได้ เช่น พระเทวทัตเป็นตัวอย่าง และถ้าหมดบุญแล้วก็ยังจะกลับมาสู่อบายภูมิได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ คือ แม่ไก่ฟังธรรม
มีเรื่องเล่าไว้ว่า ในกาลแห่งพระพุทธเจ้านามว่า กกุสันธะ แม่ไก่ตัวหนึ่ง อยู่ในที่ใกล้อาสนศาลา แม่ไก่ตัวนั้นได้ฟังเสียงประกาศธรรมของภิกษุผู้เป็นนักปฏิบัติธรรมรูปหนึ่ง กำลังสาธยายเรื่องวิปัสสนากรรมฐานอยู่ ถูกเหยี่ยวตัวหนึ่งฆ่า ตายจากชาตินั้นแล้ว ได้เกิดเป็นพระราชธิดานามว่า อุพพรี ได้ออกบวชในสำนักของปริพาชิกาทั้งหลาย วันหนึ่งนางได้เข้าไปสู่เว็จกุฏิทอดพระเนตรเห็นหมู่หนอนแล้ว ได้เจริญสมถกรรมฐานโดยเอาหนอนเป็นอารมณ์ เรียกว่า ปุฬุวกสัญญา ได้บรรลุปฐมฌาน ตายจากชาตินั้นได้ไปเกิดในพรหมโลก จุติจากพรหมโลกได้มาเกิดในตระกูลเศรษฐี ต่อมาไม่นานเท่าไร ก็ตายไปเกิดเป็นนางลูกสุกร ในกรุงราชคฤห์ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าของเรานี้
พระศาสดา ได้ทอดพระเนตรเห็นนางลูกสุกรนั้น จึงทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์เถระได้ทูลถามพระพุทธองค์จึงได้ตรัสบอกข้อความนั้นทั้งหมด ภิกษุทั้งหลายมีพระอานนท์เป็นประมุขได้สดับเรื่องนั้นแล้ว ต่างก็พากันเกิดความสังเวชสลดใจเป็นอันมาก
พระศาสดาทรงยังความสังเวชสลดใจให้เกิดขึ้นแก่ภิกษุเหล่านั้นแล้ว เพื่อจะทรงประกาศโทษแห่งราคะตัณหา ประทับยืนอยู่ในระหว่าถนนนั้นเอง ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า
ยถาปิ มูเล อนุปทฺทเว ทฬฺเห
ฉินฺโนหิ รุกฺโข ปุนเรว รูหติ
เอวมฺปิ ตณฺหานุสเย อนูหเต
นิพฺพตฺตตี ทุกฺขมิทํ ปุนปฺปุนํ
ดังนี้เป็นต้น แปลเป็นใจความว่า ต้นไม้ เมื่อรากไม่มีอันตรายยังมั่นคง ถึงจะถูกบุคคลตัดแล้วก็ยังงอกขึ้นได้อีกอยู่ แม้ฉันใดทุกข์ก็ฉันนั้น คือ เมื่อตัณหานุสัยอันบุคคลยังขจัดไม่ได้แล้วย่อมเกิดขึ้นได้อยู่ร่ำไปเหมือนกันอย่างนั้น ฯ
กระแสแห่งตัณหา 36 อันไหลไปในอารมณ์เป็นที่พอใจ เป็นของกล้า ย่อมมีแก่บุคคลใด ความดำริทั้งหลายอันใหญ่ อาศัยราคะ ย่อมนำบุคคลนั้นผู้มีทิฏฐิชั่วไป กระแสแห่งตัณหาทั้งหลายย่อมไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง ตัณหาดุจเถาวัลย์แตกขึ้นแล้วตั้งอยู่ ก็ท่านทั้งหลายเห็นตัณหานั้นเป็นดังเถาวัลย์ เกิดแล้วจงพากันตัดรากเสียด้วยปัญญาเถิด โสมนัสทั้งหลายที่่ซ่านไปและเปื้อนตัณหาดุจยางเหนียวย่อมมีแก่สัตว์ สัตว์เหล่านั้นอาศัยความสำราญ จึงเป็นผู้แสวงหาความสุข นรชนเหล่านั้นแล ย่อมเป็นผู้เข้าถึงความเกิด และความแก่ หมู่สัตว์ถูกตัณหาผู้ทำความดิ้นรนล้อมไว้แล้วย่อมกระเสือกกระสนเหมือนกระต่ายที่ถูกนายพรานดักได้ แล้วฉะนั้น หมู่สัตว์ผู้ข้องอยู่ในสังโยชน์และกิเลสเป็นเครื่องข้องอยู่ย่อมพากันเข้าถึงทุกข์อยู่บ่อยๆ เป็นเวลาช้านาน หมู่สัตว์ถูกตัณหาผู้ทำความดิ้นรนล้อมไว้แล้ว ย่อมกระเสือกกระสนเหมือนกันกับกระต่ายที่นายพรานดักได้แล้วฉะนั้น เพราะเหตุนั้น ผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร หวังธรรมเป็นที่สำรอกกิเลสแก่ตนพึงบรรเทา พึงกำจัด พึงนำออก พึงทิ้งพึงละตัณหาผู้กระทำความดิ้นรนนั้นเสียด้วยญาณ มีโสดาปัตติมัคคญาณเป็นต้น ดังนี้
พระเทพสิทธิมุนี 22 .01.2524
ถ้าเข้าฌานไม่ได้ ให้สละสวรรค์ และทิพยสมบัติทั้งปวง รวมทั้งความเป็นเจ้าของธรรมนั้น จิตจะเกิดความความว่าง นั่นแหละอวิหาเทวาฯ
ตอบลบ(รับรองว่าไม่เกิดในสวรรค์ชั้นปรนิม แน่นอน)