ท่านกล่าวไว้ในบาลีว่า "อเนกสหสฺสา" แปลว่าการเจริญวิปัสสนานั้น มีประโยชน์ มีอานิสงส์หลายร้อยหลายพัน จนไม่สามารถจะนับประมาณได้ ดังนั้นในที่นี้จะขอยกมาพอเป็นตัวอย่างแต่เล็กน้อย พอเหมาะพอควรแก่กาลเวลา คือจะยกมาเพียงส่วนน้อยๆ เท่าที่สามารถจะนำมาได้เท่านั้น คือ
- ทำให้นักปฏิบัติเข้าใจธรรมะทั้งด้านปริยัติ และด้านปฏิบัติได้ดีและละเอียดละออยิ่งขึ้น เช่น เข้าใจคำว่า รูปนาม พระไตรลักษณ์ เป็นต้น ดีขึ้นกว่าไม่ได้เข้าปฏิบัติหลายเท่า
- ทำให้มีกำลังใจเข้มแข็ง มีความขยัน มีความอดทน มีความรู้จักประหยัดยิ่งขึ้นเป็นพิเศษกว่าแต่ก่อน เข้าในหลักที่ว่า "วินัย ขยัน อดทน ประหยัด พัฒนา ลดปัญหาได้ทุกอย่าง" ดังนี้
- พัฒนาจิตใจให้เป็นนักเสียสละขึ้นอีกมาก เห็นแก่ส่วนรวม ทำงานไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย และไม่เบื่อหน่าย ยิ่งทำยิ่งเพลิน ตรงกันข้ามกับสมัยก่อนเมื่อยังไม่ได้เข้าปฏิบัติกรรมฐาน
- ทำให้ดูหนังสือธรรมะเพลิดเพลิน ไม่รู้จักเบื่อ เข้าในหลักที่ว่า ยิ่งดูยิ่งมัน บางวันอ่านหนังสือธรรมะ ค้นพระไตรปิฎกเพลิดเพลินไม่อยากหลับไม่อยากนอน
- ทำให้อธิบายธรรมะได้ดีขึ้น ละเอียด สุขมขึ้นกว่าเดิม เพราะสามารถจะอธิบายได้ทั้ง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ซึ่งลุ่มลึกไปตามลำดับ ดุจทะเลมหาสมุทรฉะนั้น
- ทำให้มีสติดีขึ้น ความจำดีขึ้น จำได้แม่นยำ จำได้แล้วไม่ค่อยหลงไม่ค่อยลืม
- เป็นมหากุศล เป็นบุญทุกขณะที่ลงมือปฏิบัติหรือลงมือสอนผู้อื่น แนะนำผู้อื่น
- เป็นคนไม่ประมาท เพราะมีสติระลึกอยู่กับ นามรูป เป็นส่วนมาก
- ได้บำเพ็ญ ศีล สมาธิ ปัญญา ตามพระพุทธโอวาท
- ได้เดินทางสายกลาง คือ มรรค 8
- ได้เดินทางสายเอก คือ หนึ่งไม่มีสอง
- ได้บำเพ็ญบารมี ได้รีบสร้างบารมี ได้เตรียมตัวก่อนตายไว้พร้อมแล้ว
- ทำให้ฉลาดรู้จักหลักความจริง และรู้จักหลักชีวิตประจำวันดีขึ้น
- ทำให้รู้จักปรมัตถธรรม ไม่หลงติดอยู่ในสมมุติบัญญัติ อันเป็นเพียงโรงละครของชาวโลก
- ทำให้คนรักใคร่กันปรองดองกัน สนิทสนมกัน เข้ากันได้ดี เป็นเสมือนหนึ่งญาติสนิท
- ทำให้คนมีความเมตตากรุณาต่อกัน เอ็นดูกันสงสารกัน พลอยยินดีอนุโมนาสาธุการในเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี ไม่มีความริษยากันและกัน
- ทำคนให้เป็นคน ให้ดีกว่าคน ให้เด่นกว่าคน ให้เลิศกว่าคน ให้ประเสริฐกว่าคน ให้สูงกว่าคน และทำคนให้เป็นพระ
- ทำคนไม่ให้เบียดเบียนกัน ไม่ให้เอารัดเอาเปรียบกัน ไม่ให้อิจฉาริษยากันและกัน
- ทำคนให้เป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย ไม่มีมานะทิฏฐิ ไม่ถือตัว ไม่เย่อหยิ่งจองหอง
- ทำคนให้รู้จักตัวเอง รู้จักปกครองตัวเอง คือ อ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวเป็น หรือ อ่านตัวออก บอกตัวได้ ใช้ตัวฟัง
- ทำคนให้เป็นผู้หนักแน่นในกตัญญูกตเวทิตาธรรม คือ เป็นคนมีความกตัญญูกตเวที นั่นเอง
- ทำคนให้หันหน้าเข้าหากัน ให้บรรจบกัน เพราะต่างฝ่ายต่างลดทิฏฐิมานะลงหากัน เข้ากันได้เป็นกันเอง รู้ใจกันดี
- ทำคนให้มี กาย ใจ บริสุทธิ์ อ่อนน้อมเยือกเย็น
- ทำคนให้ได้รับความสุข 7 ประการ คือ สุขของมนุษย์ สุขทิพย์ สุขในฌาน สุขในวิปัสสนา สุขในมรรค สุขในผล สุขคือนิพพาน ตามสมควรแก่การปฏิบัติของตนๆ หรือ ตามสมควรแก่วาสนาบารมีของตนๆ
- ทำคนให้พ้นจากความเศร้าโศกปริเทวนาการ ดุจนางปฏาจาราและสันตติมหาอำมาตย์ เป็นต้น
- ทำคนให้มีปัญญาดับความทุกข์ร้อนทางกาย ทางใจ
- ทำคนให้เดินทางถูก ให้รู้จักวิถีทางแห่งชีวิตอันถูกต้องได้ดี ไม่หลงทาง ไม่มัวเมา ไม่ประมาท รู้จักสูตรของคนที่ว่า "เกิดเป็นคน คนให้ทั่ว ปากไม่ล้น ก้นไม่รั่ว ชั่วไม่เอา เมาไม่มี นี้คือคน" ดังนี้
- ทำคนให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นปริโยสาน
- ถึงปฏิบัติได้แค่ญาณ 1-2 คือ เพียงอยู่ในญาณต้นๆ หรือญาณต่ำๆ ถ้าพยายามรักษาไว้ได้หรือปฏิบัติต่อๆ ไป ก็สามารถจะป้องกันภัยในอบายภูมิได้ ดังมีหลักฐานรับรองไว้ในวิสุทธิมรรคภาค 3 หน้า 229 ว่า
ผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถึงญาณที่ 2 คือ ปัจจัยปริคคหญาณนี้แล้ว ได้ความเบาอกเบาใจในพระพุทธศาสนา ได้ที่พึ่งที่ระลึกในพระพุทธศาสนา มีคติอันเที่ยง คือตายไปแล้วไม่ไปอบายภูมิ ชื่อว่าเป็น จูฬโสดาบัน หมายความว่า เป็นผู้เข้าสู่กระแสพระนิพพานน้อยๆ เป็นผู้เดินทางถูกแล้ว
- ถ้าปฏิบัติถึงญาณที่ 4 คือ อุทยัพพยญาณ เห็นรูปและนามเกิดดับ เห็นพระไตรลักษณ์ชัด 50% ชื่อว่าเป็นผู้มีชีวิตอันประเสริฐ ถึงจะตายเสียในวันนั้น ก็ยังดีกว่าบุคคลผู้ไม่ได้ปฏิบัติ แต่มีชีวิตเป็นอยู่ได้ตั้ง 100 ปี ดังมีหลักฐานรับรองไว้ ปรากฎอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 หน้าที่ 30 ว่า
เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย ปสฺสโต อุทยพฺพยํ
ผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐานถึงญาณที่ 4 อุทยัพพยญาณ เห็นความเกิดดับของรูปและนาม ถึงแม้จะมีชีวิตอยู่ได้เพียงวันเดียว ก็ยังประเสริฐกว่าบุคคลผู้ไม่เห็นความเกิดดับของรูปนาม แต่มีชีวิตเป็นอยู่ได้ตั้ง 100 ปี
- ถ้าชาตินี้ยังไม่ได้สำเร็จมรรคผลนิพพาน ก็จะเป็นปัจจัยให้ได้สำเร็จมรรคผลนิพพานในชาติต่อไป คือ ถ้าเจริญวิปัสสนาในปฐมวัย คือตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ถึง 25 ปี แต่ไม่สำเร็จ ก็จะเป็นปัจจัยให้ได้สำเร็จในมัชฌิมวัย คือ ตั้งแต่อายุ 25 ปี ถึงอายุ 50 ปี
- ถ้ายังไม่สำเร็จในมัชฌิมวัยนี้ ก็จะเป็นปัจจัยให้ได้สำเร็จในปัจฉิมวัย คือตั้งแต่อายุ 51 ปีถึงอายุ 75 ปี
- ถ้ายังไม่สำเร็จในปัจฉิมวัยนี้ ก็จะเป็นปัจจัยให้ได้สำเร็จในมรณสมัย คือในเวลาใกล้จะตาย ถ้าไม่สำเร็จในเวลาใกล้ตาย ก็จะเป็นปัจจัยให้ใจบริสุทธิ์ แล้วไปเกิดในสวรรค์ สมดังพระบาลีว่า จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อใจไม่เศร้าหมอง คือใจบริสุทธิ์แล้ว สุคติก็เป็นอันหวังได้ดังนี้ จะได้สำเร็จบนสวรรค์โน้น
- ถ้ายังไม่สำเร็จบนสวรรค์โน้น ก็จะเป็นปัจจัยให้ได้ฟังธรรมก่อนจะหมดศาสนา พระอัฏฐิฐาตุทั้งหลายจะได้มารวมกันเป็นองค์พระพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมอยู่ 7 วัน 7 คืน ก็จะได้มีโอกาสมาฟังธรรม ปฏิบัติธรรมในสมัยนั้น แล้วจะได้สำเร็จมรรคผลนิพพานในตอนนั้น
- ถ้ายังไม่สำเร็จในตอนนั้น ก็จะได้เกิดทันศาสนาของพระศรีอริยเมตตรัย ได้ฟังธรรมต่อพระพักตร์ของพระองค์ แล้วได้สำเร็จมรรคผลนิพพานโดยเร็วพลันที่สุด ดุจพาหิยะทารุจีริยะ พระอัญญาโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานาม พระอัสสชิ พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ เป็นต้น
- ถ้าไม่ได้พบพระศรีอริยเมตตรัย หรือสาวกของพระศรีอริยเมตตรัย เกิดในสุญกัปป์ คือ กัปป์ที่ว่างจากพระพุทธเจ้า ก็จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้มรรคผลนิพพานด้วยตนเอง ดังนี้
พระเทพสิทธิมุนี 22 .01.2524
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น